Lost and Found by Google

Monday 22 March 2010

Kings of Convenience

ตามกระแสซะเลย ไหนๆพรุ่งนี้ก็จะไปดูวงนี้มาเล่นสดที่บ้านเราแล้ว ขอเขียน Blog ถึงวงนี้เลยก็แล้วกัน Kings of Convenience วง Folk-Pop จาก Norway ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเสียงกีตาร์ เสียงร้องที่นุ่มนวล เมโลดี้ของดนตรี รวมทั้งความสามารถในการแต่งและร้องเพลงของทั้งคู่ KOC มีสมาชิกเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นซึ่งก็คือ
  • Erlend Øye
  • Eirik Glambek Bøe
ทั้งสองคนรู้จักกันเมื่อตอน 10 ขวบในการเข้าร่วมการแข่งขันภูมิศาสตร์ จนอายุ 16 ปีทั้งคู่ก็ได้เล่นในวงที่ชื่อว่า Skog (ภาษานอร์วีเจียนแปลว่า ป่า) กับเพื่อนอีกสองคน และออก EP ที่มีชื่อว่า Tom Tids Tale ภายหลังก็แยกวงเหลือกันสองคนมาทำ KOC ต่อ


ทั้งสองคนได้เซ็นสัญญากับค่าย Kindercore ภายหลังจากที่เริ่มแสดงตามงานต่างๆในยุโรปช่วงปี '99 หลังจากมาใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนในปี 2001 ทั้งคู่ก็ได้ออกเดบิวในชื่อว่า Quiet is the New Loud ซึ่งอัลบัมนี้เองก็ได้โปรดิวเซอร์ฝีมือดีมาทำให้นามว่า Ken Nelson ผู้ซึ่งเคยโปรดิวซ์ให้วงอย่าง Coldplay มาก่อนแล้ว และอัลบัมนี้เองก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการเพลง pop แบบนอกกระแสซึ่งทางวงก็ได้รับแรงมาจากวงอย่าง Belle & Sebastian แต่มาขัดเกลาและเน้นภาคเมโลดี้ กับ ข้อความที่สือออกมามากกว่า

และในปีเดียวกันวงก็ได้ออกอัลบัม Versus ออกมาซึ่งเป็นอัลบัม Remix ของ Quiet is the New Loud ซึ่งแต่ละเพลงจะนำมา Remix หรือ Rearrange ใหม่โดยศิลปินคนอื่นอย่างเช่น Röyksopp, Four Tet, Ladytron, Alfie, และอื่นๆ รวมทั้งบางเพลงที่ arrange ใหม่โดย Kings of Convenience เองอย่างเช่น Failure

ภายหลังจากนั้นทางวงก็เงียบตัวลงไป Øye ได้ใช้เวลาไปอยู่ที่เบอร์ลิน และได้ทำงานเดี่ยวในชื่ออัลบัมว่า Unrest รวมทั้ง side project ในชื่อวง The Whitest Boy Alive จนกระทั่งปี 2004 วงจึงกลับมาทำงานอีกครั้งในอัลบัมใหม่ที่ชื่อว่า Riot on an Empty Street และในอัลบัมนี้ยังได้ featuring กับนักร้องสาวเสียงใสที่มีนามว่า Leslie Fiest และในอัลบัมนี้เองที่ทางวงทำ MV เพลง I'd Rather Dance with You ซึ่งก็ได้ติด Top List ของ MTV European ใน Best Music Video of 2004

แล้วหลังจากนั้นวงที่หายไปอีกครั้งจนมีข่าวออกมาว่าจะเลิกทำงานด้วยกันแล้วแต่ทั้งสองคนก็ยังมีคอนเสิร์ตตามประเทศต่างๆอยู่เรื่อยๆจนกระทั่งกลางปี 2009 ทางวงก็ได้ส่ง e-mail หาแฟนคลับว่าในปีนี้จะมีอัลบัมออกมาอย่างแน่นอน แล้วในที่สุด ตุลาคม 2009 ทางวงก็ได้ปล่อยอัลบัมใหม่ในชื่อว่า Declaration of Dependence ถือเป็นห้าปีที่ห่างหายไปจากวงการโดยแฟนเพลงได้แต่เฝ้ารออัลบัมใหม่กัน

และก็พรุ่งนี้แล้วที่แฟนคลับชาวไทย จะได้พบกับตัวจริง เสียงจริงของเค้าทั้งสอง ส่วนการแสดงจะสมกับการรอคอยของแฟนๆหรือไม่ ไว้เราว่ากันคราวหน้าครับ สิบเอ็ดปีกับ 3 อัลบัมเต็ม ลุ้นกันดีกว่าว่าเค้าทั้งสองจะเล่นเพลงไหนกันบ้าง... สำหรับวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

Quiet is the New Loud (2001)

Versus (2001)

Riot on an Empty Street (2004)

Declaration of Dependence (2009)

Tuesday 9 March 2010

กลับมาอีกทีแบบไม่มีใครเรียกร้อง


หายตลอดอ่ะผมด้วยความขี้เกียจส่วนตัวล้วนๆ ต่อไปนี้สัญญาว่าจะอัพอาทิตย์ละครั้ง โอเค๊? แต่หายไปนานนี่จะเขียนทีมันก็ตะกุกตะกักดีนะ มันแปลกๆพิมพ์ไม่ค่อยเข้าที่เท่าไหร่ วันนี้พูดถึงวงไหนดีละ ช่วงนี้กระแส Electronic, Electroclash, New-Rave กำลังมาเลย งั๊นพูดถึงวงนี้ละกัน New-Rave มาแรงจาก Leeds, West Yorkshire แดนดิน England ! ! !

มันแรงจริงเปล่าผมก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคนไทยไม่ค่อยฟังกันหรอกวงนี้ (เดาว่าไม่รู้จัก) วงนั้นคืออออ แท่ม แท่ม แท้ม แท่มมมมมมม "Hadouken!" อ้าว งง... อย่างงดิ อย่างง

แค่รูปก็ตื้ดละ ถือไลท์ เซเบอร์กันเลยทีเดียะ ฮ่าๆ ว่าด้วยสมาชิกของวงประกอบไปด้วย
  • Jame Smith
  • Daniel "Pilau" Rice
  • Alice Spooner
  • Chris Purcell
  • Nick Rice
ที่มาของวงเริ่มมาจากที่มหาวิทยาลัย (ต้องบอกชื่อไหม) บอกก็ได้เผื่อจะมีคนอยากตามไปเรียน วงได้เริ่มต้นขึ้นที่ "University of Leeds" โดยสมาชิกเริ่มแรกมีกัน 4 คน นั่นก็คือ Jame Smith (ร้องนำ, แต่งเนื้อร้อง), Alice Spooner (Synth, แฟนสาวของคนเมื่อกี๊), Daniel Rice (กีตาร์), และ Nick Rice (กลอง) โดยทั้งสี่ขึ้นเวทีแสดง gig ครั้งแรกที่ Dirty Hearts Club ใน Southend (ไม่ใช่ Dirty Herats Club อันที่อยู่ Aberdeen นะ) หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ก็ได้มาเปิดตัวที่ลันดั้น ในงาน Another Music, Another Kitchen หลังจากนั้นก็เริ่มทำเดโมและแสดงสดในแถบลีดส์และลอนดอนอยู่เป็นเวลา 6 เดือน วงก็ได้รับมือเบสคนใหม่เข้ามา ก็คือ Chris Purcell และได้ตั้งชื่อวงจากชื่อท่า Hadouken ในเกม Street Fighter (ใช่ ! ชื่อวงมาจากชื่อท่าปล่อยพลังนั้นละ...)

หลังจากวงเริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงปลายปี 06 คาบเกี่ยวต้นปี 07 และวงเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้o ต้นปี 07 นั่นเอง Mike Skinner (จาก The Streets) ได้เอาเพลงของวงคือ "That Boy That Girl" ไปเปิดที่ Radio 1 ในวันที่ไปเป็นแขกของ Zan Lowe (เคยพูดถึงไปแล้ว หาอ่านย้อนหลังได้ครับ) และได้บอกว่าวงนี้เป็น " A Great New Band" (เออ ผมเชื่อครับ) หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดการบอกต่อบอกผ่านจนกระทั่ง กุมภาปีเดียวกัน NME ก็ได้เพิ่มกระแสให้กับวงหลังจากที่ซิงเกิลออกวางว่า "a savage, snarling work of genius" โดยซิงเกิล double a-side "That Boy That Girl/ Tuning In" ได้ออกวางขายโดยค่ายที่ทางวงก่อตั้งขึ้นเองในชื่อ Surface Noise Records หลังจากนั้นไม่นาน MV ตัวแรกของวงก็ออกฉายซึ่งกำกับโดย Bobby Harlow (เป็นเพื่อนกันกับวงนี้) ส่วนเพลง Tuning In ก็ได้ไปอยู่ในอัลบัมรวมของค่าย Kitsune' (มันไม่มี e แบบอัก/ซองอ่ะ)
(MV ลองไปดูกันได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=CgGItLYyBQ0)

ข้ามที่เหลือเลยละกันไปว่ากันด้วยอัลบัมที่เคยวางแผงเลยดีกว่า ประวัติก็กล่าวไปพอละ วงออกอัลบัมเต็มมาแล้ว 2 อัลบัม โดยวางห่างกันสองปี ชุดแรก 2008 ชุดล่าสุดออกเมื่อต้นปี 2010

Music for an Accelerated Culture คืออัลบัมเดบิวของวงที่ออกเมื่อปี 2008 โดยตั้งชื่อจากหนังสือของ Douglas Coupland ที่ชื่อว่า Generation X: Tales for an Accelarated Culture และเอามารวมเข้ากับชื่ออัลบัมของ The Prodigy ที่ชื่อว่า Music for the Jilted Genration อัลบัมประกอบไปด้วย 11 เพลง (JP Edition มีโบนัสเพิ่มอีก 2 เพลง) งานเพลงชุดนี้ออกเป็นแนว New Rave ผสมกับ Grindie...

มาต่อกันด้วยอัลบัมที่สอง For the Masses วงออกข่าวมาตอนกลางปี 2009 ว่าออกอัลบัมใหม่ โดยมี Producer แนว Drum and Bass นามว่า Noisia คอยดูแลการผลิตให้ ซึ่งทางวงก็บอกเองว่าอัลบัมชุดนี้จะแตกต่างจากชุดแรก ทั้งเรื่องของเนื้อเพลงและแนวทางของดนตรี ซึ่งอัลบัมนี้ก็ได้ไปอัดกันที่ Groningen, Holland นู้นเลย

เอาละเรามาจบของ Entry กันดีกว่า อย่างที่บอกไปว่าวงนี้ได้ชื่อวงมากจากชื่อท่าในเกมฉะนั้นแล้วลักษณะของเพลงก็เลยออกมาในแนวที่ผสมกันระหว่างดนตรีแบบ Techno เข้าไปกับ Samples เสียงของ Nintendo Game Boy โดยให้เพลงออกมาในลักษณะที่เข้ากับของ Culture ของวัยรุ่น ออกแนว Underground หน่อย กินดื่มตื้ดๆในคลับ และเห็นอย่างนี้วงก็เคยได้รางวัลกับเขาด้วยนะ ซึ่งนั่นก็คือ Best Electronic Artist/DJ จาก BT Digital Music Awards ในปี 2008 เอาละเหลามายาวขนาดนี้แล้ว หากใครสนใจก็ลองหาฟังกันดูนะครับ แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้า