Lost and Found by Google

Friday 23 July 2010

มาๆหายๆ เป็นบ้าไรเนี่ย...

เดี๋ยวมาอัพ เดี๋ยวก็หาย สัญญาไม่เป็นสัญญาบอกจะอัพอาทิตย์ละครั้ง สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เอ่อ... แต่ช่วงนี้ว่างไม่รับงานใดๆทั้งสิ้นจากวันที่ 20-31 กรกฎา สาเหตุไม่ขอเปิดเผย (แต่ไม่ใช่ตกงานแน่ๆล่ะ ฮ่าๆๆ) วันนี้อยู่ดีๆก็อยากเขียนถึงวงนี้ จะเรียกวงดีไหมล่ะมีคนเดียว แต่แสดงสดก็มีหลายคนนะ... เอาเป็นว่าวันนี้จะพูดถึง

LCD Soundsystem !

LCD Soundsystem จริงๆเป็นชื่อแทนของ producer ชาวอเมริกันคนนึงนามว่า James Murphy ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งค่าย DFA Records โดยแนวเพลงของ Murphy คือการ mixing ระหว่าง dance กับ punk โดยมีส่วนประกอบอื่นๆของ disco และ experiment rock เข้าไปด้วย


LCD Soundsystem ได้รับความสนใจหลังจากปล่อยซิงเกิลตัวแรกออกมาในชื่อ "Losing My Edge" โดยเป็นแทรคที่ความยาวเกือบ 8 นาที และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนอกกระแส ซึ่งหลังจากนั้นก็มีซิงเกิลตามออกมาอีกสองเพลงคือ "Give It Up" และ "Yeah" ซึ่งก็ได้รับความนิยมอีกเช่นกัน...

และแล้ว และแล้ว และแล้ว และแล้ว และแล้ว อะ อะ อะ อะ อะอัลบัมแรกก็วางแผง ! เมื่อกุมภาพันธ์ ปี 2005 โดยออกมาในชื่อเดียวกับชื่อวง เป็น CD สองแผ่น แผ่นแรกเป็นเพลงในอัลบัม ส่วนแผ่นที่สองเป็นการเอาซิงเกิลที่ผ่านมาๆมารวมแล้ว re-release และเพลง "Daft Punk is Playing at My House" ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังถูกเอาไปใช้เป็นเพลงในเกมอีกหลายๆเกมอย่างเช่น Fifa 06, Forza Motorsport 2 และยังได้ขึ้น UK Top 40 ในเดือนมีนาคมอีกด้วย และรวมทั้งปลายปี 2005 วงก็ได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy Awards แถมยังได้รับเลือกจาก Amazon.com ให้เป็น Top 100 Editor's Pick of 2005

Order at Amazon - LCD Soundsystem (Audio CD) & LCD Soundsystem (MP3 Download)
ตัดฉับกลับมาตุลาคม 2006 ทาง Murphy ก็ได้ออกซิงเกิลใหม่ที่ทำร่วมกับ Nike ในชื่อเพลงว่า "45.33" ซึ่งเป็นเพลงที่มความยาว 45.58 นาที (ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะทำไปทำไม...?) ซึ่งตอนหลังก็ได้เผยออกมาว่า อยากทำเพลงที่มีความยาวมากๆเพลงเดียวจบเหมือนอย่างเพลง E2-E4 ที่ Manuel Göttsching เป็น producer

ถึงคราวของอัลบัมที่สอง ออกมาในเดือนมีนาคมปี 2007 โดยมีชื่อว่า Sound of Silver และกระแสตอบรับอยู่ในขั้นดี (ชิบหายวายป่วง) Mixmag ให้รางวัล Album of the Month, Pitchfork ให้ 9.2 คะแนน, The Guardian ให้ 5 ดาวเต็ม ! ! ! โดยอัลบัมได้ปล่อยออกมาหลังจากที่ซิงเกิลแรก "North American Scum" ปล่อยออกมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ โดยอัลบัมนี้ยังมีเพลงที่ร่วมกับกับศิลปินคนอื่นอีก อย่างซิงเกิล "All My Friends" ที่ออกมาเป็นซิงเกิลที่สองได้ทำเพลงร่วมกับ Franz Ferdinand, และ John Cale จากวง The Velvet Underground รวมทั้งยังมี cover เพลง "No Love Lost" ของ Joy Division อีกด้วย

ธันวาปี 2007 รางวัลได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy for Best Electronic/Dance Album แต่ก็แพ้ให้กับ The Chemical Brothers และได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Shortlist Prize แต่ก็แพ้ให้กับอัลบัม The Reminder ของสาว Feist แต่อย่างไรก็ตามวงก็ได้รับการยอมรับจากสื่อต่างๆอย่างเช่น Uncut, The Guardian, Drowned in Sound ให้เป็น Best Album of 2007 (ก็ยังดีน่าพี่ Murphy)
**FYI - All My Friends ได้ติด Top 10 Songs of 2007 โดยอยู่อันดับที่ 4, หลังจากกลับจากทัวร์วงได้แต่งเพลง "Big Ideas" เป็น soundtrack ของเรื่อง 21 และไอ้อยู่อันดับที่ 63 ของ Rolling Stone's List of the 100 Best song of 2008

Order at Amazon - Sound of Silver (Audio CD) & Sound Of Silver (MP3 Download)
ทำไมวันนี้ผมอัพบล็อกได้เรื่อยเปื่อยเอื่อยเฉื่อยขนาดนี้ละเนี่ย เขียนมาตั้งแต่บ่ายสอง นี่มันสี่โมงเย็นยังเขียนไม่เสร็จ แต่เอาน่ะอีกอึดใจ คนอ่านไม่เหนื่อย คนเขียนเหนื่อยยยยย มาต่อกันที่อัลบัมล่าสุดที่พึ่งวางแผง ก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่าตอนช่วงปลายปี 2008 ว่าวงจะไม่ทำเพลงต่อ แต่แล้ว Murphy ก็ออกมาสยบข่าวลือที่ว่าโดยการบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงทำอัลบัมใหม่...

Murphy เริ่มทำเพลงตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนปี 2009 โดยทำมาเรื่อยๆ รวมทั้งยังทำเพลงที่จะวางขายในวัน Record Store Day อย่างเพลง "Bye Bye Bayou" ของ Alan Vaga จากวง Suicide มา cover ใหม่

กุมภาพันธ์ 2010 วงได้ประกาศอย่างเป็นทางการในเวปว่าอัลบัมได้เสร็จแล้ว และกำหนดปล่อยซิงเกิลแรกอย่างเพลง "Drunk Girls" คือวันที่ 25 มีนาคม โดยได้ให้ steam ฟังผ่านเน็ทได้จากเวป One Thirty BPM หลังจากนั้นถึงได้ประกาศชื่ออัลบัมรวมทั้งเผยหน้าปกออกมาในวันที่ 30 มีนาคมในเวปของ DFA โดยใช้ชื่ออัลบัมว่า This Is Happening โดยจะไปวางแผงในเดือนพฤษภาคม และ Murphy ยังพูดอีกว่าอัลบัมนี้จะดีกว่าอีกสองอัลบัมที่เคยทำมา และ อัลบัมนี้อาจจะเป็นอัลบัมสุดท้ายของวง

ก่อนที่อัลบัมจะวางแผงในสหรัฐอเมริกา Murphy ได้มีทัวร์ที่ New York เจ้าตัวถึงกับคุกเข่าแล้วบอกกับแฟนเพลง ขออย่าให้อัลบัมหลุดออกมาก่อนจะวางแผงตามกำหนดเวลา โดยเจ้าตัวพูดออกมาว่า...

"If you got a copy of the record early and you feel like sharing it with the rest of the world, then please don't ... We spent two years making this record and we want to put it out when we want to put it out. I don't care about money – after it comes out, give it to whoever you want for free but until then, keep it to yourself."

Order at Amazon - This Is Happening (Audio CD) & This Is Happening (MP3 Download)
แต่ผมอยากบอกพี่ Murphy จริงๆว่า คำขอของพี่แม่งไม่ได้ผล ผมเห็นอัลบัมนี้หลุดออกมาในอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เดือนเมษายน ดีหน่อยตรงที่ว่าพวกโฮสที่ฝากไฟล์มันลบออกให้แล้วแจ้งว่า copyright ก็ช่วยกันได้คนละนิดคนละหน่อย... ใครชอบเพลงแนว Electronic แบบ Dance Punk วงนี้ไม่ควรพลาดนะครับ หรือถ้าใครรู้จักอยู่แล้วก็อ่านผ่านๆไปละกัน ส่วนใครอยากจะ order cd หรือ mp3 ผมทำลิงค์จาก amazon ไว้ให้แล้วก็กดกันเข้าไปได้เลยครับ เอาเป็นว่าจบตรงนี้ละกันครับสำหรับ entry นี้ สวัสดี... :)

ปล. หลังจากที่บอกตอนต้นว่าจะไม่รับงาน เมื่อกี๊สายตรงมาเลย "อยู่บ้านใช่ไหม เออเดี๋ยวอาส่งงานเข้าไปให้" ขอบคุณครับอาาาา วันหยุดประจำปีของผมมมมมมมมมมม !

Tuesday 29 June 2010

เมื่อผมกลับมาอีกครั้ง...

หายไปอย่างนานด้วยความที่งานเยอะม๊ากกกกกก (จริงขี้เกียจน่ะ...) ก่อนคุยเรื่องเพลงมาคุยเรื่องคอมพ์ผมดีกว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง ฮ่าๆๆๆ อึดอัดใจมากต้องบอกต่อเยอะๆ คลิกไปยาวๆ : กะอีแค่เปลี่ยน HDD ชีวิตมันวุ่นวายได้ขนาดนี้ ! (แต่คิดอยู่ว่า... สงสัยบางคนจะอ่านกันไม่ได้เพราะตั้ง privacy ไว้ แล้วจะเอามาบอกทำไมเนี่ย ฮ่าๆๆ) เข้าเรื่องดีกว่า เคยได้ลองชิมเครื่องดื่มชื่อ Mew ใน 7-11 กันรึเปล่าครับ? ที่มันมีสองรส คุ้กกี้ แอนด์ ครีม กับ รัมเรซิน น่ะ... ถ้ายังไม่เคยลองก็ลองดูครับมันอร่อยดีนะ ไม่ต่างอะไรกับวงดนตรีวงนี้ที่ควรลองเหมือนกัน กับวงชื่อเหมือนเครื่องดื่มเมื่อกี๊... "Mew"



"Mew" วง alternative rock จากเดนมาร์กที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 1994 ในย่าน Hellerup ของกรุง Copenhagen สมาชิกก่อตั้งของวงประกอบไปด้วย
  • Jonas Bjerre
  • Bo Madsen
  • Silas Utke Graae Jørgensen
  • Johan Wohlert (ออกจากวงเมื่อปี 2006)
โดยทางดนตรีของวงได้ถูกจัดไว้ในกลุ่มของ Indie rock หรือบางทีก็เป็น Prog. Rock บ้างก็ว่าเป็น Shoegazing, Post-rock บางทีไปกันใหญ่เป็น "Pretentious Art Rock" เรียกได้ว่าโดนจัดไว้หลายแขนงมากแต่ Bo Madsen จัดให้วงตัวเองเป็น "The World's Only Indie Stadium Band"


และถึงแม้ว่าวงจะก่อตั้งมาตั้งแต่ 94 แต่กว่าจะโด่งดังและเป็นที่รู้จักจริงๆก็ในปี 2003 จากอัลบัม Frengers โดยได้ทั้งรางวัล "Album of the Year" และ "Band of the Year" ในงานประกาศรางวัล Danish Music Critics Award Show เหตุหนึ้งที่อัลบัมนีไ้ด้รับการตอบรับอย่างดีก็เนื่องมาจากวงได้ออกแสดงทัวร์ยุโรปโดยเป็นวง support ให้กับวงอย่าง R.E.M. จึงเป็นเหตุให้ได้รับการตอบรับเป็นวงกว้าง

ปี 2006 อัลบัมถัดมาก็ได้ออกวางแผง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งในเดนมาร์กเอง และในยุโรปรวมทั้งยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และรางวัลจากสื่อต่างๆอีกมายมายแต่ความสำเร็จก็แลกมาด้วยการลาออกจากวงของ Johan เนื่องจากต้องการให้เวลากับแฟน (Pernille Rosendahl จากวง Swan Lee) ที่จะให้กำเนิดลูกชายในปีนั้น โดยภายหลังทั้งสองคนก็ตั้งวงดูโอในชื่อว่า The Storm

โดยทางวงก็ต้องออกทัวร์โดยมีสมาชิกจากวงอื่นมาช่วยในการออกแสดงโดยมี Nick Watts (จากอดีตวง Headswim) และ Bastian Juel (จากวง Swan Lee โดยมาช่วยเป็นการชั่วคราว) หลังจากทัวร์เสร็จนั้น ทางวงก็กลับไปทำ Studio Album อีกครั้งโดยสมาชิกดั้งเดิมเพียงสามคน โดยครั้งนี้ได้ไปทำที่ Brooklyn, NY กับ producer คนเดิมที่เคยทำให้โด่งดังในอัลบัม Frengers ที่มีชื่อว่า Rich Costey

และอัลบัมที่ห้าของวงที่มีชื่อยาวที่สุดในระบบสุริยจักรวาลก็ได้ออกวางแผงเมื่อปี 2009 โดยมีชื่อว่า... "No More Stories Are Told Today, I'm Sorry They Washed Away // No More Stories, The World Is Grey, I'm Tired, Let's Wash Away" ...นี่ผมไม่ได้ตลกนะเนี่ย

เอาเป็นว่าหากสนใจก็ลองหาฟังกันดูครับ วงเคยออกมาแล้ว 5 อัลบัม ตามหาตามล่ากันตามสะดวก บางอัลบัมอาจจะหายากหน่อย ฟังอัลบัมใหม่ๆไปก่อนละกันครับ ส่วนวันนี้ผมลาละครับ ไปทำงานต่อละ... สวัสดี
  • A Triumph for Man (1997, 2006 reissue)
  • Half the World Is Watching Me (2000, 2007 reissue)
  • Frengers (2003, 2007 reissue)
  • And The Glass Handed Kites (2005)
  • No More Stories... (2009)
แถมให้ 1 MV จากอัลบัมล่าสุด... =)

Friday 9 April 2010

Newcastle Rocks the Island !

พอดีงานและธุระเสร็จหมดแล้ว ก็เลยมีเวลามาอัพให้ได้อ่านกัน จริงๆที่เห็นมาอัพตอนเช้าขนาดนี้ เพราะว่าเมื่อวานผมหลับไปตั้งแต่สามทุ่มเศษๆได้ เนื่องจากวันพฤหัสได้นอนไปแค่ชั่วโมงเดียวเพียวๆ ก็เอาละอัพกันแต่เช้าเลยละกัน หลายคนที่สนใจบอลอังกฤษก็คงพอจะทราบข่าวกันแล้วว่า Newcastle United ที่ตกชั้นไปก็ได้เลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสู้ศึกพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่ผมไม่สนใจหรอกเพราะผมไม่ได้เชียร์ แต่ที่ลากมาเพราะจะเข้าเรื่องวันนี้ว่ารู้หรือไม่ใน Newcastle มีวงดนตรีทีเขย่าหัวคุณได้เมื่อฟัง รวมทั้งอาการหลุดเมื่อได้ดูการแสดงสดแบบสะใจเลยทีเดียว พวกเขาเหล่านั้นก็คือ... "Maxïmo Park"


Maxïmo Park คือวง Alternative Rock จากเมือง Newcastle ที่มีสมาชิก 5 คนประกอบไปด้วย
  • Paul Smith (Vocals)
  • Duncan Lloyd (Guitar)
  • Archis Tiku (Bass)
  • Lukas Wooller (Keyboard)
  • Tom English (Drums)
วงได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อราวปี 2000 โดยสมาชิกสมาชิกสี่คน โดยชื่อของวงได้มาจากการช่วยกันคิดของ Duncan และ Archis โดยเอาชื่อของ Máximo Gómez Park มาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นชื่อใหม่ที่ใช้อยู่ ช่วงแรกเริ่มของวงก็ตระเวนทัวร์ออกแสดงไปเรื่อยๆตามงานแสดงเล็กๆรวมทั้งงาน Manchester 'In the City' ที่เป็นงานแสดงของวงที่ไม่มีสังกัดค่ายใดๆในเกาะอังกฤษ ภายหลังจากนั้นแฟนของมือกลองก็ได้แนะนำให้รู้จักเพื่อนคนนึงที่เคยร้องเพลง "Superstitions" ร่วมกับ Stevie Wonder...

เมื่อ Paul ได้มาร่วมกับวงเดิมทีวงจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาจะร่วมไปกับวงด้วยได้หรือไม่ จนกระทั่ง "เมื่อได้เห็นพอลกระโดดอย่างบ้าคลั่งในชุดสูท นั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่า นี่แหล่ะจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย" และเมื่อ Paul ได้เข้าร่วมกับวง ก็จึงได้รับเดโมทั้งหมดกลับมาเพื่อให้ไปเขียนต่อ

ประมาณมีนา 2004 วงก็ได้ลงทุนทำซิงเกิล Graffiti โดยเป็นแผ่นไวนิลขนาด 7 นิ้วทั้งหมด 300 แผ่น และภายหลังก็ได้ทำออกมาเพิ่มอีกสองซิงเกิลคือ The Coast is Always Changing และ The Night I Lost My Head โดยทำกันเองทั้งหมด และระหว่างนั้นก็แสดงสดประปรายในเมือง และได้ไปเตะตาเข้ากับ Steve Beckett แห่งค่าย Warp Records ที่เน้นดนตรีในแนว dance-electronic และก็ได้ตัดสินใจว่าจะเอาวงนี้เข้ามาอยู่กับทางค่าย

ทางวงได้มีงาน Studio ออกมาแล้วสามอัลบัม คือ A Certain Trigger (2005), Our Earthly Pleasures (2007), Quicken the Heart (2009) และอีกหนึ่ง B-Sides ในชื่ออัลบัมว่า Missing Songs (2006)

A Certain Trigger (Debut - 2005) ซึ่งอัลบัมนี้ขายไปได้ 300,000 แผ่นรวมทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Mercury Prize โดยคู่แข่งในปีนั้นมีแต่ตัวเป้งอย่าง Coldplay, Kaiser Chiefs, KT Tunstall, หรือแม้แต่วงหน้าใหม่ด้วยกันเองอย่าง Bloc Party แต่ก็กลายเป็น Anthony and the Johnsons ที่ได้รับไป

Missing Songs (2006) อัลบัมนี้เป็น Compilation ที่ประกอบด้วยงานส่วนใหญ่ที่จะเป็น B-sides แล้วก็มีงาน Demo เก่าๆก่อนจะออกอัลบัม รวมทั้งงาน Cover เพลง "Isolation" ของ John Lennon

Our Earthly Pleasures (2007) บรรลัยเกิดในอัลบัมที่สองเช่นเดียวกับ Bloc Party งานไม่ติดหู เนื้อหาไม่น่าสนใจมีเพียงซิงเกิลที่ดังอย่าง Our Velocity, Book from Boxes, Girls Who Play Guitars

Quicken the Heart (2009) กลับมาอีกครั้งหลังจากกระโหลกกะลาไปในในชุดที่แล้ว เลยกลับมาใหม่พร้อมด้วยโปรดิวเซอร์คนใหม่ Nick Launay ผู้เคยทำงานให้ศิลปินอย่าง Yeah Yeah Yeahs, Nick Cave, Talking Heads ซึ่งก็ผลออกมางานดีกว่าชุดที่สองเยอะเหมือนกัน เอาว่า NME ให้คะแนนชุดสองอยู่ที่ 6/10 พอมาชุดนี้ขึ้นไปอยู่ 8/10 เยอะกว่าชุดแรกที่ได้ไป 7/10 อัลบัมนี้เองก็ออกมาในหลายรูปแบบมากทั้ง Vinyl, CD, รวมทั้ง Special CD+DVD ซึ่งมันมีพิเศษของพิเศษตรงที่ 500 แผ่นแรกที่สั่งจากเวปของวงจะได้สุ่มลายเซ็นของสมาชิกในวง 1 คน ลงบนปก ซึ่งผมก็ได้มาแบบทันการ เดิมทีหวังว่าจะได้ลายเซ็นของ Paul Smith ไม่ก็ Tom English แต่ปรากฏว่า ได้ของ Archis Tiku ซะอย่างงั๊น โอ้วม่ายยยยยยยยยยยยยย ! ! ! ถึงจะเป็นสมาชิกของวง แต่ผมก็อยากได้ของคนอื่นมากกว่านะ ฮืออออออออออ~

*ภาคเสริม 1 Maxïmo Park เคยมาแสดงสดในเมืองไทยเมื่อครั้ง 100 Rock Festival ที่เมืองทอง โดยงานนั้นคนดูราว 80-90% ถามกันไปมารวมทั้งเพื่อนผมก็ด้วยว่า "วงอะไรวะ ?" ได้แต่ตอบไปว่ารอดูเอาแล้วกันแล้วเดี๋ยวมึงจะทึ่งสังเกตร้องนำให้ดีๆ หลังจากนั้นผ่านยังไม่ถึงครึ่งเพลงคำถามนั้นไม่อยู่ในหัวอีกต่อไป คนดูทั้งโซนกลายเป็นกระโดดกันอย่างไม่ยั้งเข้ามาแทน เดี๋ยวเอาตัวอย่าง Live มาแปะไว้ละกันครับ

**ภาคเสริม 2 รีวิวให้ดูกันไปเลยกับ อัลบัมที่สามในแบบ Special Edition ที่ประกอบด้วย CD เพลง และ DVD ชื่อ Monument เป็นแสดงสดของวงที่จัดขึ้นที่ Newcastle's Metro Radio Arena เมื่อปี 2007 และ อัลบัมรูปที่วงถ่ายไว้ระหว่างทำอัลบัมที่สาม เพื่อไม่ให้เสียอรรถรส ผมจะไม่โพสคั่นระหว่างรูป ดูกันไปเต็มๆครับ ส่วนผมขอลาตรงนี้เลยละกัน สวัสดีครับ


Live @ Reading Festival


Tuesday 6 April 2010

Sorry, but i ask to postpone

อาทิตย์นี้งานเร่ง และธุระเยอะ

ขออัพอาทิตย์หน้าแทนครับ...

Monday 22 March 2010

Kings of Convenience

ตามกระแสซะเลย ไหนๆพรุ่งนี้ก็จะไปดูวงนี้มาเล่นสดที่บ้านเราแล้ว ขอเขียน Blog ถึงวงนี้เลยก็แล้วกัน Kings of Convenience วง Folk-Pop จาก Norway ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเสียงกีตาร์ เสียงร้องที่นุ่มนวล เมโลดี้ของดนตรี รวมทั้งความสามารถในการแต่งและร้องเพลงของทั้งคู่ KOC มีสมาชิกเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นซึ่งก็คือ
  • Erlend Øye
  • Eirik Glambek Bøe
ทั้งสองคนรู้จักกันเมื่อตอน 10 ขวบในการเข้าร่วมการแข่งขันภูมิศาสตร์ จนอายุ 16 ปีทั้งคู่ก็ได้เล่นในวงที่ชื่อว่า Skog (ภาษานอร์วีเจียนแปลว่า ป่า) กับเพื่อนอีกสองคน และออก EP ที่มีชื่อว่า Tom Tids Tale ภายหลังก็แยกวงเหลือกันสองคนมาทำ KOC ต่อ


ทั้งสองคนได้เซ็นสัญญากับค่าย Kindercore ภายหลังจากที่เริ่มแสดงตามงานต่างๆในยุโรปช่วงปี '99 หลังจากมาใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนในปี 2001 ทั้งคู่ก็ได้ออกเดบิวในชื่อว่า Quiet is the New Loud ซึ่งอัลบัมนี้เองก็ได้โปรดิวเซอร์ฝีมือดีมาทำให้นามว่า Ken Nelson ผู้ซึ่งเคยโปรดิวซ์ให้วงอย่าง Coldplay มาก่อนแล้ว และอัลบัมนี้เองก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการเพลง pop แบบนอกกระแสซึ่งทางวงก็ได้รับแรงมาจากวงอย่าง Belle & Sebastian แต่มาขัดเกลาและเน้นภาคเมโลดี้ กับ ข้อความที่สือออกมามากกว่า

และในปีเดียวกันวงก็ได้ออกอัลบัม Versus ออกมาซึ่งเป็นอัลบัม Remix ของ Quiet is the New Loud ซึ่งแต่ละเพลงจะนำมา Remix หรือ Rearrange ใหม่โดยศิลปินคนอื่นอย่างเช่น Röyksopp, Four Tet, Ladytron, Alfie, และอื่นๆ รวมทั้งบางเพลงที่ arrange ใหม่โดย Kings of Convenience เองอย่างเช่น Failure

ภายหลังจากนั้นทางวงก็เงียบตัวลงไป Øye ได้ใช้เวลาไปอยู่ที่เบอร์ลิน และได้ทำงานเดี่ยวในชื่ออัลบัมว่า Unrest รวมทั้ง side project ในชื่อวง The Whitest Boy Alive จนกระทั่งปี 2004 วงจึงกลับมาทำงานอีกครั้งในอัลบัมใหม่ที่ชื่อว่า Riot on an Empty Street และในอัลบัมนี้ยังได้ featuring กับนักร้องสาวเสียงใสที่มีนามว่า Leslie Fiest และในอัลบัมนี้เองที่ทางวงทำ MV เพลง I'd Rather Dance with You ซึ่งก็ได้ติด Top List ของ MTV European ใน Best Music Video of 2004

แล้วหลังจากนั้นวงที่หายไปอีกครั้งจนมีข่าวออกมาว่าจะเลิกทำงานด้วยกันแล้วแต่ทั้งสองคนก็ยังมีคอนเสิร์ตตามประเทศต่างๆอยู่เรื่อยๆจนกระทั่งกลางปี 2009 ทางวงก็ได้ส่ง e-mail หาแฟนคลับว่าในปีนี้จะมีอัลบัมออกมาอย่างแน่นอน แล้วในที่สุด ตุลาคม 2009 ทางวงก็ได้ปล่อยอัลบัมใหม่ในชื่อว่า Declaration of Dependence ถือเป็นห้าปีที่ห่างหายไปจากวงการโดยแฟนเพลงได้แต่เฝ้ารออัลบัมใหม่กัน

และก็พรุ่งนี้แล้วที่แฟนคลับชาวไทย จะได้พบกับตัวจริง เสียงจริงของเค้าทั้งสอง ส่วนการแสดงจะสมกับการรอคอยของแฟนๆหรือไม่ ไว้เราว่ากันคราวหน้าครับ สิบเอ็ดปีกับ 3 อัลบัมเต็ม ลุ้นกันดีกว่าว่าเค้าทั้งสองจะเล่นเพลงไหนกันบ้าง... สำหรับวันนี้ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

Quiet is the New Loud (2001)

Versus (2001)

Riot on an Empty Street (2004)

Declaration of Dependence (2009)

Tuesday 9 March 2010

กลับมาอีกทีแบบไม่มีใครเรียกร้อง


หายตลอดอ่ะผมด้วยความขี้เกียจส่วนตัวล้วนๆ ต่อไปนี้สัญญาว่าจะอัพอาทิตย์ละครั้ง โอเค๊? แต่หายไปนานนี่จะเขียนทีมันก็ตะกุกตะกักดีนะ มันแปลกๆพิมพ์ไม่ค่อยเข้าที่เท่าไหร่ วันนี้พูดถึงวงไหนดีละ ช่วงนี้กระแส Electronic, Electroclash, New-Rave กำลังมาเลย งั๊นพูดถึงวงนี้ละกัน New-Rave มาแรงจาก Leeds, West Yorkshire แดนดิน England ! ! !

มันแรงจริงเปล่าผมก็ไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคนไทยไม่ค่อยฟังกันหรอกวงนี้ (เดาว่าไม่รู้จัก) วงนั้นคืออออ แท่ม แท่ม แท้ม แท่มมมมมมม "Hadouken!" อ้าว งง... อย่างงดิ อย่างง

แค่รูปก็ตื้ดละ ถือไลท์ เซเบอร์กันเลยทีเดียะ ฮ่าๆ ว่าด้วยสมาชิกของวงประกอบไปด้วย
  • Jame Smith
  • Daniel "Pilau" Rice
  • Alice Spooner
  • Chris Purcell
  • Nick Rice
ที่มาของวงเริ่มมาจากที่มหาวิทยาลัย (ต้องบอกชื่อไหม) บอกก็ได้เผื่อจะมีคนอยากตามไปเรียน วงได้เริ่มต้นขึ้นที่ "University of Leeds" โดยสมาชิกเริ่มแรกมีกัน 4 คน นั่นก็คือ Jame Smith (ร้องนำ, แต่งเนื้อร้อง), Alice Spooner (Synth, แฟนสาวของคนเมื่อกี๊), Daniel Rice (กีตาร์), และ Nick Rice (กลอง) โดยทั้งสี่ขึ้นเวทีแสดง gig ครั้งแรกที่ Dirty Hearts Club ใน Southend (ไม่ใช่ Dirty Herats Club อันที่อยู่ Aberdeen นะ) หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ก็ได้มาเปิดตัวที่ลันดั้น ในงาน Another Music, Another Kitchen หลังจากนั้นก็เริ่มทำเดโมและแสดงสดในแถบลีดส์และลอนดอนอยู่เป็นเวลา 6 เดือน วงก็ได้รับมือเบสคนใหม่เข้ามา ก็คือ Chris Purcell และได้ตั้งชื่อวงจากชื่อท่า Hadouken ในเกม Street Fighter (ใช่ ! ชื่อวงมาจากชื่อท่าปล่อยพลังนั้นละ...)

หลังจากวงเริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงปลายปี 06 คาบเกี่ยวต้นปี 07 และวงเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้o ต้นปี 07 นั่นเอง Mike Skinner (จาก The Streets) ได้เอาเพลงของวงคือ "That Boy That Girl" ไปเปิดที่ Radio 1 ในวันที่ไปเป็นแขกของ Zan Lowe (เคยพูดถึงไปแล้ว หาอ่านย้อนหลังได้ครับ) และได้บอกว่าวงนี้เป็น " A Great New Band" (เออ ผมเชื่อครับ) หลังจากนั้นก็เริ่มเกิดการบอกต่อบอกผ่านจนกระทั่ง กุมภาปีเดียวกัน NME ก็ได้เพิ่มกระแสให้กับวงหลังจากที่ซิงเกิลออกวางว่า "a savage, snarling work of genius" โดยซิงเกิล double a-side "That Boy That Girl/ Tuning In" ได้ออกวางขายโดยค่ายที่ทางวงก่อตั้งขึ้นเองในชื่อ Surface Noise Records หลังจากนั้นไม่นาน MV ตัวแรกของวงก็ออกฉายซึ่งกำกับโดย Bobby Harlow (เป็นเพื่อนกันกับวงนี้) ส่วนเพลง Tuning In ก็ได้ไปอยู่ในอัลบัมรวมของค่าย Kitsune' (มันไม่มี e แบบอัก/ซองอ่ะ)
(MV ลองไปดูกันได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=CgGItLYyBQ0)

ข้ามที่เหลือเลยละกันไปว่ากันด้วยอัลบัมที่เคยวางแผงเลยดีกว่า ประวัติก็กล่าวไปพอละ วงออกอัลบัมเต็มมาแล้ว 2 อัลบัม โดยวางห่างกันสองปี ชุดแรก 2008 ชุดล่าสุดออกเมื่อต้นปี 2010

Music for an Accelerated Culture คืออัลบัมเดบิวของวงที่ออกเมื่อปี 2008 โดยตั้งชื่อจากหนังสือของ Douglas Coupland ที่ชื่อว่า Generation X: Tales for an Accelarated Culture และเอามารวมเข้ากับชื่ออัลบัมของ The Prodigy ที่ชื่อว่า Music for the Jilted Genration อัลบัมประกอบไปด้วย 11 เพลง (JP Edition มีโบนัสเพิ่มอีก 2 เพลง) งานเพลงชุดนี้ออกเป็นแนว New Rave ผสมกับ Grindie...

มาต่อกันด้วยอัลบัมที่สอง For the Masses วงออกข่าวมาตอนกลางปี 2009 ว่าออกอัลบัมใหม่ โดยมี Producer แนว Drum and Bass นามว่า Noisia คอยดูแลการผลิตให้ ซึ่งทางวงก็บอกเองว่าอัลบัมชุดนี้จะแตกต่างจากชุดแรก ทั้งเรื่องของเนื้อเพลงและแนวทางของดนตรี ซึ่งอัลบัมนี้ก็ได้ไปอัดกันที่ Groningen, Holland นู้นเลย

เอาละเรามาจบของ Entry กันดีกว่า อย่างที่บอกไปว่าวงนี้ได้ชื่อวงมากจากชื่อท่าในเกมฉะนั้นแล้วลักษณะของเพลงก็เลยออกมาในแนวที่ผสมกันระหว่างดนตรีแบบ Techno เข้าไปกับ Samples เสียงของ Nintendo Game Boy โดยให้เพลงออกมาในลักษณะที่เข้ากับของ Culture ของวัยรุ่น ออกแนว Underground หน่อย กินดื่มตื้ดๆในคลับ และเห็นอย่างนี้วงก็เคยได้รางวัลกับเขาด้วยนะ ซึ่งนั่นก็คือ Best Electronic Artist/DJ จาก BT Digital Music Awards ในปี 2008 เอาละเหลามายาวขนาดนี้แล้ว หากใครสนใจก็ลองหาฟังกันดูนะครับ แล้วพบกันใหม่อาทิตย์หน้า