Lost and Found by Google

Friday 25 September 2009

ขอโทษที่หายไปนาน มากกกกกกกกกก

กราบขออภัยพ่อแม่พี่น้อง ที่ผมหายไปนานมากกกก
เนื่องจากติดขัดบางประการ (จริงๆหลายประการดีกว่า)
แต่ก็กลับมาละ มือไม้มันติดขัดไม่ได้พิมพ์เอาเป็นว่า
ขอรื้อฟื้นก่อนละกันนะครับ หากมีข้อผิดพลาดก็ขออภัย
วันนี้ไปสวีเดนกันก็แล้วกันนะ ประเทศนี้มีวงดีๆอยู่เยอะ
วงไหนดีละวันนี้ หลับตาจิ้มละกัน .. . . .. . . . ... . . ... OK !


Sugarplum Fairy คือวงอินดี้ร็อคจากเมือง Borlänge ประเทศ Sweden
ที่ได้ชื่อวงมาจากการเอาเพลงท่อนนึงของ The Beatles มาตั้งชื่อวง
โดยเพลงนั้นคือ A Day in the Life ที่ John Lennon นับจังหวะเข้าเพลงว่า
"sugar-plum-fairy, sugar-plum-fairy"

Sugarplum Fairy ก่อตั้งวงขึ้นเมื่อปี 1998 โดยสมาชิกสามคนคือ
Victor Norén, Carl Norén และ Kristian Gidlund หลังจากนั้น
ทางวงก็ทำ Demo ออกมาเรื่อยๆ และมาได้เซ็นสัญญาเมื่อปี 2004
และก็ได้ออก EP แรกในชื่อว่า Stay Young และก็ได้ปล่อย single
ออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งออก debut ในชื่ออัลบัมว่า
"Young & Armed"
ส่วนใหญ่ทางวงจะออกทัวร์ใน ญี่ปุ่น สวีเดน เยอรมัน จนเป็นที่รู้จัก
จึงออกอัลบัมที่สองในปี 2006 ในชื่อ "First Round First Minute"
และอีกครั้งกับอัลบัมล่าสุดในปี 2008 กับ "The Wild One"
นอกเหนือไปจากทางเรื่องงานเพลงแล้ว วงยังได้รับความรู้จัก
จากการที่มีนักร้องนำสองคนซึ่งเป็นน้องชายของ Gustaf Norén
นักร้องนำของอีกวงดังจากสวีเดนนามว่า Mando Diao

ปัจจุบัน สมาชิกของ Sugarplum Fairy ประกอบไปด้วย

Victor Norén: Vocals, Bass, Guitar, Percussion
Carl Norén: Vocals, Guitar, Harmonica, Organ
David Hebert: Bass, Organ, Guitar
Jonas Karlsson: Guitar, Backing vocals
Kristian Gidlund: Drums



Young & Armed (2004)

Track listing:

1. And Please Stay Young
2. Sweet Jackie
3. Morning Miss Lisa4. Lonely Star
5. Turning Into Nothing
6. Another Apple In My Mouth
7. Everlasting Me
8. Coming Home
9. Godfever10. Sail Beyond Doubt
11. Rock'n'Roll Tragedy
12. Far Away From Man
13. San José



First Round First Minute (2006)

Track listing:

1. Last Chance
2. She
3. Don't Wake Us Up
4. Soul of The Sun
5. Marigold6. Visible Karma
7. Illusion Of Conclusion
8. My Saviour My Secret
9. Back Where We Belong
10. Left Right Black White
11. Day One
12. It Takes Time It Takes Two
13. Let Me Try
14. Love Bird



The Wild One (2008)

Track listing:

1. The Escapologist
2. Just A Little Bit More
3. You Can't Kill Rock'n'roll
4. Bring Danger
5. Never Thought I'd Say That It's Alright
6. Hate It When You Go
7. Kick It Up
8. In Berlin
9. Love's Turning Into Boredom
10. Here She Comes
11. Harder To Say I'm Sorry
12. Caroline
13. Bus Stop (Bonus Track)

Wednesday 11 February 2009

i'm back

สวัสดีครับ หายไปสามวัน คราวนี้ไม่ได้ติดงาน แต่นึกเรื่องจะเอามาเขียนไม่ถูก ฮ่า ๆ แต่ตอนนี้นึกออกละเลยมาเขียนครับ มีใครชอบเพลงแนว Swedish Pop ไหมครับหรืองาน pop แบบ retro หน่อยเอาซักช่วงยุค 70's หลายคนอาจบ่น (กู)ยังไม่เกิดเลย ผมก็ยังไม่เกิดครับ แต่ถามเอาแนวทางเฉยๆ เผื่อว่าเคยฟัง เอาเป็นว่าถ้าชอบแนวนั้นผมมีวงมาแนะนำจากประเทศใกล้ๆบ้านเรานี่เอง



Mocca คือวงจากประเทศอินโดนีเซีย ก่อตั้งวงเมื่อปี 1997 เพลงส่วนใหญ่ของวงนี้จะได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีในยุค 70's ผสมเข้ากับแนวเพลง Swing, Bossa, Swedish pop, รวมทั้ง Jazz ซึ่งทำให้เพลงสามารถฟังได้สบายๆ ฟังได้เรื่อยๆ ผ่อนคลาย สบายใจ

เรื่องราวของวงเริ่มมาจากที่เพื่อนสนิทสองคน Arina กับ Riko ตัดสินใจจะตั้งวงตอนยังเรียน College แต่ว่าในระหว่างช่วงปีแรกกับการมีวงดนตรี งานดนตรีของพวกเขาติดๆขัดๆ ไปไม่ได้กับเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ จนในที่สุดก็เริ่มเบื่อ ด้วยจุดนี้จึงได้จึงทำให้เค้าทั้งสองเริ่มทำเพลงของตัวเอง และก็ได้เสนอเพลงที่แต่งขึ้นมาให้เพิ่อนร่วมวง แต่ทุกคนไม่ให้การตอบรับ หลังจากนั่นก็เริ่มเกิดความคิดไม่ตรงกันหลายๆครั้ง แล้วในที่สุดก็แยกวงเหลือไว้เพียง Arina กับ Riko กันตามลำพัง จนถึงช่วงปี 99 ก็ได้ไปชวน Indra กับ Toma มาร่วมวง แล้วนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของ Mocca ที่สามารถรวมตัวกันด้วยเพราะมุมมองทางดนตรีและความสนใจทางดนตรีเหมือนๆกัน


เดบิวของ Mocca ออกมาเมื่อปี 2002 ชื่อว่า "My Diary" โดยมีทั้งหมด 13 เพลง โดยเป็นเพลงที่มาจากมุมมองของผู้หญิงผ่านไดอารีของเธอ โดยเพลงจะมีการผูกเรื่องราวให้ผ่านไปทีละเพลงๆตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องราวเดียวกันทั้งหมด

เพลงในอัลบัมแต่ละเพลงจะมีบีทที่แตกต่างกันออกไปเพื่อแสดงถึงอารมณ์ของเด็กผู้หญิงในช่วงเวลานั้นและถึงแม้ว่า Mocca จะมีสมาชิกเพียงแค่ 4 คนแต่ว่าเวลาออกทัวร์จะมีสมาชิกเสริมในการเล่นเครื่องดนตรีอื่นๆอีก 6 คนประกอบด้วย keyboard, guitar, percussion, trumpet, trombone, และก็ sax

รายชื่อสมาชิกของ Mocca
  • Arina Ephipania Simangunsong (Vocal, Flute)
  • Riko Prayitno (Guitar)
  • Achmad Pratama/ Toma (Bass Guitar)
  • Indra Massad (Drums)

Mocca ได้ออกอัลบัมมาแล้วทั้งสิ้นสามอัลบัม เริ่มจาก My Diary, Friends, และ Colours ตามลำดับ

ใครที่ชอบฟังเพลงแบบสบายๆ ผมว่าวงนี้น่าสนใจครับ อาจจะหาฟังยากหน่อยแต่คงไม่เกินกำลังถ้าจะหามาฟังจริงๆ อัลบัม My Diary ผมชอบมากเพราะการผูกเรื่องราวและการเรียงลำดับเพลงมันทำให้ได้เรื่องราวในระหว่างฟังจริงๆครับ

Sunday 8 February 2009

You racist, Bastard ! ! !

จั่วหัวได้น่าตกใจมาก ไม่ใช่ไรครับพอดีช่วงนี้ผมติด Jeff Dunham with his Pal ไอ้ตัวหุ่นที่ชื่อ Achmed, The Dead Terrorist มันฮาอย่างจริงจัง มันชอบด่าประโยคที่จั่วหัวนั่นแหล่ะ ไม่งั๊นก็อีกประโยคคือ Silence! I kill you ! ฮ่า ๆ ๆ ลองไปหาดูใน youtube ก็ได้ครับ อาจจะติดเหมือนผมก็ได้ แต่ที่เจ้า Achmed มันพูดก็ถูกนะครับ คือเราไม่ควรจะเหยียดสีผิว เชื้อชาติ หรือแม้แต่ศาสนาก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบก็ไม่ควรจะแสดงออกอยู่ดีนั่นแหล่ะที่โดนหนักที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องเหยียดสีผิว คนผิวสีก็คือคนครับ เค้าทำอะไรผิดคุณถึงต้องไปเหยียดหยามเค้า คนผิวสีบางคนมีดีกว่าเราด้วยซ้ำ B.B. King ก็ผิวสีเล่นกีตาร์เก่ง เป็นตำนานเพลง Blues เป็น entertainer ที่ดี ผิวขาวบางคนทำได้แบบเขาหรือไม่ ? Nat King Cole เสียงดีเป็นบ้าเป็นหลัง นักร้องผิวขาวบางคนเสียงอย่างกับควายออกลูก เทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ...

พอพูดถึงนักร้องผิวสีก็พาลให้ผมนึกถึงอีกวงนึงขึ้นมา วงนี้สัญชาติอังกฤษแท้ๆ แต่มีนักร้องผิวสี หลายคนอาจนึกออกแล้ว... ถูกครับผมกำลังจะพูดถึง Bloc Party พวกเค้าเป็นใครมาจากไหนอยู่ๆถึงได้โด่งดังขึ้นมาแน่นอนครับ คงไม่ใช่ขายหน้าตาแบบนักร้องบ้านเราเป็นแน่ ชีวิตคุณคุณต้องลิขิตตัวเองและแน่นอนพวกเค้าก็เลือกแบบนั้น

Bloc Party คือวงที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน
Kele Okereke (Lead vocal, Rhythm guitar)
Russell Lissack (Lead Guitar)
Gordon Moakes (Bass guitar, Synths, Backing vocal)
Matt Tong (Drums, Backing Vocal)

วงได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1999 ที่ Reading Festival โดยมีสมาชิกสองคนคือ Okereke และ Lissack โดยใช้ชื่ออื่นๆไปเรื่อยเช่น Union, Superheroes of BMX, The Angel Range and Diet ก่อนจะมาจบลงที่ Bloc Party เมื่อปี 2003 โดยเล่นคำกับ Block Party ส่วน Moakes ได้เข้ามาร่วมวงภายหลัง และ Tong ได้ผ่านการออดิชันเข้ามาร่วมวงเป็นคนสุดท้าย และในปีนี้เองที่ Bloc Party ได้ออกเพลงแรกชื่อว่า The Marshals Are Dead ซึ่งรวมอยู่ในอัลบัม The New Cross และก็ได้ออกซิงเกิลแรกภายหลังชื่อว่า She's Hearing Voice

แล้ววันนึงก็มาถึงเมื่อ Bloc Party ได้พยายามก้าวข้ามผ่านการเป็นวงทั่วๆไปให้เป็นที่รู้จัก เมื่อพวกเขาได้เข้าไปที่คอนเสิร์ตของ Franz Ferdinand และได้ให้ก็อปปี้ของเพลงให้กับ Steve Lamacq ที่เป็น DJ ของคลื่น BBC Radio 1 (เป็นเจ้าของช่วง In New Music We Trust) และอีกคนที่ส่งไปก็คือ Alex Kapranos และเพลงที่เขาให้ก็คือเพลง She's Hearing Voices นั่นแหล่ะ


ภายหลังจากนั้น Lacmacq ได้เปิดเพลงของ Bloc Barty ในช่วงรายการของเขาเองแล้วระบุเป็นจำความสั้นๆต่อเพลงนี้ว่า "Genius" และก็ได้เชิญวงมาเล่นสดที่สถานี แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นหลังจากที่ Okereke ร้องเพลงใหม่ที่ชื่อว่า Banquet ภายหลังจากนั้นไม่นานวงก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงอิสระที่ชื่อว่า Wichita Recording เมื่อปี 2004


งานเพลงของ Bloc Party กล่าวได้ว่าเป็นการได้รับอิทธิพลมาจากหลายๆวงอย่างเช่น The Cure, The Jam, Blur, Smashing Pumpkins, The Smiths, Manic Street Preachers รวมถึง Joy Division เมื่ออัลบัมเดบิวเปิดตัวออกมาปี 2004 ในชื่อ Silent Alarm งานของพวกเขาโดนจังๆเข้ากับนักวิจารณ์ทั้งหลาย NME ให้ 9/10, Rolling Stone ให้ 4 ดาว (ถือว่าเยอะมาก) และยิ่งไปกว่านั้นอัลบัม Silent Alarm ยังได้รับโหวตจาก NME ให้เป็น 2005 Album of the Year และยังได้รับประกาศ Platinum (อู่วววววว ของเค้าดีจริง)


2006 กับอัลบัมใหม่อีกครั้ง A Weekend in the City ไม่รู้ว่าด้วยอาถรรพ์อัลบัมที่สองรึเปล่า อัลบัมนี้ไม่ค่อยดังเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับอัลบัมแรก จะด้วยแนวเพลงที่ใส่บีทของ R'n'B ลงไปรึเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เพลงไม่ค่อยติดหูเท่าไหร่นัก จึงส่งผลให้... กริบสนิทใจกันไป (ผมเองก็รู้สึกว่าเพลงมันฟังยากๆ ไม่มันส์เหมือนอัลบัมแรก)


2008 กลับมาใหม่อีกทีกับ Intimacy อัลบัมที่ผมพูดกับตัวเองว่านี่ละคือ Bloc Party เพราะเพลงที่ตื้ดขึ้นฟังแล้วมันส์เหมือนชุดแรกไม่ใช่หนืดๆเหมือนชุดที่สอง Okereke เองยังได้พูดถึงอัลบัมนี้ว่าตัวเขาต้องการให้เพลงในอัลบัมนี้สามารถเปิดแล้วเต้นได้ในคลับ แทนที่จะเป็นเพลงที่คุณนั่งลงฟังแล้วจมดิ่งกับความรู้สึกของคุณเอง อัลบัมนี้เป็นการผสมความลงตัวของดนตรี rock ในชุดแรก กับความเนี้ยบทางดนตรีในชุดของเข้าด้วยกันแล้วเติมความเป็น electronic ลงไป (เป๊ะ ลงตัวครับ!)

สำหรับใครที่ชอบฟังดนตรีแบบ Indie Rock ผมขอพูดว่า Bloc Party เป็นอีกวงที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงงานของพวกเขาแน่นอนจริงๆ มีความเนี้ยบในความดิบของดนตรีร็อค ลองหาฟังกันดูครับ แต่อย่าเริ่มฟังแบบข้ามอัลบัมนะครับ คุณต้องไปตามสเต็ป 1-2-3 แล้วจะพบความลงตัวของ Bloc Party วงที่ผมกล้าพูดว่าเป็นความหวังใหม่ของเกาะอังกฤษ หลังจาก The Beatles

Friday 6 February 2009

ดึก ดึกอีก ดึกได้อีก ! ! !

นอนดึกมาหลายวัน ไม่รู้ทำไมหัวค่ำนี่ง่วงแบบจะหลับให้ได้พอตกดึกตาสว่าง...!!! เวรกรรมนี่ว่าต้องพยายามนอนให้เป็นเวลาล่ะเดี๋ยวถ้ายังดึก ดึกอีก แล้วดึกได้อีกอยู่ อาทิตย์หน้าท่าจะแย่เพราะมีแข่งคาร์ทแบบ Endurance 3 ชม. รอคอยอยู่ในวันที่ 15 แล้วถ้ายังนอนดึกขนาดนี้ตื่นเช้ามาจะไหวไหมละนั่น ไม่ได้การจริงๆ ผมขอรณรงค์แนะนำให้เด็กไทยนอนหลับแต่หัวค่ำ เอ่อ !

ถ้าผมพูดถึงประเทศอังกฤษ แล้วให้คิดถึงสถานีวิทยุ กับ สถานีโทรทัศน์ อย่างละช่องจะคิดถึงช่องอะไรกัน? ติ๊กต่อก ๆ ๆ ๆ พอหมดเวลา... หลายคงคงตอบ BBC เพราะนึกช่องอื่นไม่ออก หรือคนที่เคยไปอยู่อังกฤษอาจตอบได้เป็นหางว่าว แต่วันนี้ผมจะพูดถึง BBC นี่ละแต่ว่าเป็น BBC Radio โดยจะพูดถึงแค่ช่องเดียวด้วยนั่นคือ Radio 1 เพราะอะไรหรือ อ่านต่อไปสิครับ

Radio 1 เป็นคลื่นที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1967 โดยที่ทาง Radio1 เป็นคลื่นที่เน้นการนำเสนอทางด้านของเพลง Pop แต่ก็จะมีเอนเอียงไปทาง Rock และ Indie กันอยู่บ้าง และนั่นเองจึงทำให้มีช่วงพิเศษอยู่ช่วงนึงนั่นคือช่วง Live Lounge ของ Jo Whiley ที่จะเป็นการเล่นดนตรีสดออกรายการ โดยมีนักร้องรับเชิญ หรือวงรับเชิญมาออก และนักดนตรีเหล่านั้นก็จะเล่นเพลงของตัวเอง หรือแม้แต่เล่นเพลงของคนอื่นในเวอร์ชันที่แปลกออกไปโดยการเล่นจะเป็นแบบ acoustic แล้วถ้าเล่นเพลงของศิลปินคนอื่นแล้วละก็ มันจะเจ๋งตรงที่คุณจะต้องเล่นเพลงของศิลปินในแบบคนละแนวเพลงกันไปเลย อย่างเช่น Arctic Monkeys เล่นเพลงของ Girls Aloud (แหม่เว้ย...) ถ้าเทียบกับวิทยุไทยก็คงเป็นช่วง cover night ของ Green Wave ละมั๊ง... ไม่ชัวร์คลื่นเพราะผมไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทย (ไม่ต้องด่าว่ากระแดะครับ ก็ผมไม่ได้ฟังอ่ะ)

หลังจากที่จัดรายการมาอย่างยาวนานนักร้องเดี่ยว วงดนตรีก็ได้ cover หลายเพลงหลายเวอร์ชันทางคลื่น Radio 1 ก็ได้รวบรวมจัดออกมาขายเป็น compilation ในชื่อ Radio 1's Live Lounge (โอ้มาถึงเรื่องของเราแล้ว) Radio 1's Live Lounge ได้ออกมาแล้วสามอัลบัม Radio 1's Live Loung, Radio 1's Live Lounge vol.2, Radio 1's Live Lounge vol.3

โดยแต่ละอัลบัมจะประกอบด้วยเพลงทั้งหมด 40 เพลงโดยแบ่งเป็น CD 2 แผ่น แผ่นละ 20 เพลง ก็ตกอัลบัมละ 40 ศิลปินเพราะใส่มาแค่คนละ 1 เพลงเท่านั้น อัลบัมฟังง่ายๆครับ สำหรับคนชอบเพลงแนว acoustic ก็คงจะชอบอัลบัมนี้ แต่ในกรณีที่คุณไม่เกลียดเพลง cover นะ เพราะผมเห็นบางคนไม่ชอบเพลง cover เพราะคิดว่าต้นฉบับมันดีอยู่แล้ว อันนี้ก็ว่ากันเป็นคนๆไป สำหรับผมเฉยๆกับเพลง cover อยู่แล้วเพราะบางทีมันดีกว่าต้นฉบับก็มี แต่อันที่ไม่ดีกว่าเราก็ฟังไปถือว่าได้ฟังเพลงใน version ที่ต่างออกไป

แต่ว่านอกเหนือจาก Radio 1's Live Lounge แล้วมันยังมีอีกอัลบัมที่เป็นเพลงแนว Cover อีก 1 อัลบัม นั่นคืออัลบัม Radio 1 Established 1967 ที่ออกมาเมื่อตอนฉลองครบรอบ 40 ปีของคลื่น BBC Radio 1 แต่อัลบัมนี้มันเจ๋งกว่าอีกสามอัลบัมในส่วนของ Live Lounge ตรงที่เป็นเพลง Cover ทั้งหมดโดยที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่อง acoustic (คงถามต่อว่า แค่นี้เจ๋งยังไง?) มันเจ๋งตรงที่แต่ละเพลงจะเป็นเพลงฮิตในแต่ละปีตั้งแต่ตั้งสถานีมาน่ะสิ เริ่มตั้งแต่ปี 1967 ที่เพลง Flower in the Rain ของ The Move ถูกนำมา cover ใหม่โดย Kaiser Chiefs และก็ไล่มาเรื่อยๆจนถึงปี 2006 ที่เป็นเพลง Steady, As She Goes ของ The Raconteurs ถูกนำมาร้องใหม่โดย Corinne Bailey Rae แหม่แค่เล่าก็อยากจะฟังเองละ งั๊นผมขอตัวไปฟังเพลง Toxic ของอิหนู Britney ที่ cover ใหม่โดย Hard-Fi ก่อนละ ใครอยากฟังไปตามล่าหา CD เอากันนะครับ ที่เล่าไปทั้งหมดก็แค่ 4 อัลบัมเอง ขอให้โชคดีในการหาครับ

Thursday 5 February 2009

หายหัวกบาลไปไหนมา...

หลังจากหายหัวไม่เขียนมาสองวันเนื่องจากมีภารกิจส่วนตัวให้ทำมากมายก่ายกอง งาน Freelance ที่รับไว้และต้องส่งในไม่ช้า ฉะนั้นก็เลยต้องแบ่งเวลาให้ดี ไม่งั๊นอาจเสียทั้งงาน เสียเงิน และเสียลูกค้าไปด้วยในระหว่างที่ฟังเพลงไปด้วยทำงานไปด้วยก็มีเพลงสะดุดหูขึ้นมาฟังแล้วสนุกมาก.ก.ก.ก...... (เว่อร์ไปงั๊นแหล่ะ) ได้ข่าวว่ารู้จักมาตั้งนานแล้ว จริงๆคือ หาทางเข้าเรื่องอยู่ครับ ดำน้ำ แถ และ เถือเอาซะสีข้างถลอกหมดแล้ว งั๊นเข้าเรื่องเลยละกัน 3 2 Action...


The Wombats ! ! !

เข้ามาถึงเรื่องจนได้ ฮ่า ๆ บางทีคนเราก็ไม่ต้องสวยงามนักหรอกดิบๆนี่ละมันก็ถึงเนื้อหาใจความเหมือนกัน The Wombats วง Indie Rock ฟังสนุกๆจากเมือง Liverpool ประกอบด้วยสมาชิกสามคน
  • Matthew Murphy
  • Daniel Haggis
  • Tord Øverland-Knudsen
สองในสามเป็นลิเวอร์พัดเลี่ยนแท้ๆอีกหนึ่งเป็นนอร์วีเจียนทั้งสามคนพบกันที่ LIPA (Liverpool Institute for Performing Arts) โดยที่ Murphy กับ Haggis ได้พบกันก่อนแล้ว Tord ได้จากบ้านที่ Elverum, Norway ตามมาสมทบภายหลัง...

การแสดงสดครั้งแรกของทั้งสามคนเกิดขึ้นที่ Hannah's Bar ในเมืองลิเวอร์พูล โดยใช้ชื่อวงว่า The Wombats (อ้าว ก็ชื่อเดิม) จริงๆเป็นชื่อชั่วคราวเพื่อใช้เปิดการแสดง และดูเสียงตอบรับที่ Hannah's Bar เท่านั้น และ การแสดงสดเล็กๆนอก UK ครั้งแรกของวงเกิดขึ้นที่หมู่บ้านชนบทห่างไกลแสนไกลของ Norway ที่ซึ่งเป็นหมู่บ้านสำหรับการตกปลาที่ชื่อว่า Stord (ผมงงอยู่ว่าไปแสดงทำไมที่นั่น ?)

ในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ LIPA วงก็ได้ตัดสินใจออกแสดงในงาน Beijing Midi Festival โดยมีคนเข้าร่วมงานอยู่ราวๆ 20,000 คน และงานนี้เองซึ่งเป็นงานออกแสดงต่อหน้าคนจำนวนมากเป็นครั้งแรก และยิ่งไปกว่านั้นวงได้จัดงานแสดงขึ้นเองที่ Carling Academy Liverpool (ปัจจุบันชื่อ O2 Academy Liverpool) โดยใช้ชื่อว่า "Little Miss Pipedream" และด้วยเวลาอันสั้น วงก็ได้กลายเป็นที่นิยมและออกซิงเกิลแรกในปี 2006 ที่มีชื่อว่า Lost in the Post

2007 Debut Album - A Guide to Love, Loss & Desperation

แล้วก็ถึงเวลาของการออกเดบิวอัลบัม หลังจากที่วงได้ทยอยออกซิงเกิลอย่างต่อเนื่องจนถึงตุลาคม ปี 2007 วงก็ได้ตัดสินใจออกอัลบัมในชื่อเต็มๆว่า The Wombats Proudly Present: A Guide to Love, Loss & Desperation โดยที่อัลบัมขึ้นไปถึงอันดับ 11 ของ UK Album Chart โดยที่อัลบัมได้ออกหลังจากการออกทัวร์ยุโรปจบลงที่ Liverpool Academy ในเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า

หลังจากนั้นในปี 2008 วงก็ได้มีการแสดงตามที่ต่างๆมากมาย เป็นวง support หรือออกแสดงเองตามงานต่างๆทั้งงานของ NME, Glastonbury Festival, หรือ T in the Park และในปีนี้เองวงก็ได้รับรางวัลจากทาง NME โดยซิงเกิล Lets Dance To Joy Division ได้รับรางวัล "Best Dancefloor Filler"

สำหรับใครที่ชอบฟังดนตรีสนุกๆ โยก เต้น กันได้มันส์ๆ ผมขอแนะนำครับกับวงนี้ The Wombats ผมว่าพวกคุณไม่น่าจะผิดหวัง

เกร็ดเล็กน้อยกับ The Wombats
  • เคยออกอัลบัมมาแล้วก่อนจะออกเดบิวโดยที่มีขายแต่เฉพาะในญี่ปุ่น
  • เพลงจากในอัลบัมนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็มาอยู่ในอัลบัมเดบิวนี่แหล่ะ
  • แต่ถ้าใครอยากจะหามาฟังลอง search ว่า...
  • Girls, Boys and Marsupials (อัลบัมออกเมื่อปี 2006)
  • อีกอัลบัมชื่อว่า The Wombats Go Pop Pop Pop (เป็น EP 5 เพลงออกปี 2007)
  • มี Limited Release ด้วยนะชื่อว่า
  • Lost in the Post กับ Moving to New York
  • ปี 2008 วงส่งอัลบัมเข้า USA โดยใช้ชื่อว่า The Wombats EP
จบบริบูรณ์ บ๋าย บายยยย

Monday 2 February 2009

Ohhh Weekday !

I've just realized that this blog should be Thai blog, because none of foreigner would read for sure. So, there is no more English text box. Let's study Thai to read my blog. LOL

วันจันทร์อีกแล้ว ๆ ๆ ๆ ใครทำงานแล้วก็ต้องแหกขี้ตาตื่นออกไปทำงาน ใครยังเรียนก็ต้องเตรียมไปนั่งเบื่อในห้องกันอีกแล้ว วงจรชีวิตที่สุดแสนน่าเบื่อ หลายคงคงเบื่อ ผมก็เบื่อฉะนั้นมันต้องหาอะไรกระตุ้นให้มีชีวิตชีวากันหน่อย เอ๊า ดนตรีมา...!

Cassius is over! Cassius away! Cassius these daydreams, these daydreams okay!

อ้าววว เพลงอะไรละเนี่ย... เฉลยมันคือเพลง Cassius ของ Foals ครับ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกมีคำถามในใจว่า Foals นี่คือวงอะไร มาจากไหน และเป็นเพลงแนวไหน ขอให้อดใจ กลั้นใจ ทำใจให้สงบ หาเวลา หลบเจ้านาย หลบอาจารย์ แล้วเริ่มอ่าน ณ แต่บัดนี้เป็นต้นไป...



Foals ? คือใครผมก็ไม่รู้จักหรอกครับ รู้แต่ว่าพวกเขาเป็น indie rock ที่มีสมาชิก 5 คนประกอบไปด้วย
  • Yannis Philippakis (Vocal and Guitar)
  • Jimmy Smith (Guitar)
  • Walter Gervers (Bass)
  • Edwin Congreave (Keyboard)
  • Jack Bevan (Drums)
แล้วพวกเขามารวมตัวกันได้ยังไง ย้อนอดีตกันหน่อยดีกว่า เดิมที Foals เคยเป็นวงอื่นมาก่อนชื่อว่า The Edmund Fitzgerald เป็นวงแนว Math rock (คืออะไรไว้ว่ากันทีหลัง) ประกอบด้วยสมาชิกสามคนซึ่งก็คือ Philippakis, Bevan แล้วก็ Lina Simon แต่พอทำไปทำมาชักเครียดบรรยากาศในการทำเพลงชักซีเรียสเกินไป ถ้าเป็นคนไทยคงบอกเพื่อนไปแล้วว่า "เชี่ย แม่งตึงวะ!" และแล้วก็ตัดสินใจว่าแยกกันเถอะ... เพราะทนไม่ไหวกับการที่ต้องทำเพลงแล้วซีเรียสขนาดนี้ พวกเราต้องการความสนุกในการทำเพลง

พอดีการกับ Andrew Mears ร้องนำแห่งวง Youthmovies (ตอนนั้นชื่อวง Youthmovie Soundtrack Strategy) กำลังฟอร์มวงใหม่ขึ้นมาพอดี แต่ไปๆมาๆทำ single แรกออกมา Mears ก็ออกจากวงซะแล้วเพราะต้องไปทุ่มเทเวลาให้กับวงของตัวที่กำลังจะออก Debut... แต่โชคยังดีที่ Edwin ดันเคยเจอ Yannis เข้าตอนที่ทำงานอยู่ที่บาร์ใน Oxford เท่านั้นแหล่ะ ก็เป๊ะ ครบองค์ประชุมพอดี !

งานเพลงของวงออกเป็น Dance-Punk ที่ได้รับอิทธิพลจาก Math-rock, Techno, รวมทั้ง Minimalist (อันสุดท้ายอย่าถามครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันมันเป็นยังไง) ทำให้ผมพูดสั้นๆได้ว่า บางเพลงมันตื้ดจริง...! แต่เดี๋ยวก่อนครับ หลายคนอาจคิดว่าเพลงก็คงเป็นแนวๆ indie เกลื่อนอังกฤษทั่วไปนั้นแหล่ะ แต่หยุดความคิดไว้ก่อนเมื่อพบกับการพูดของ Philippakis "อย่าให้คำอธิบายว่าเป็น indie เลยจะดีกว่า พวกเราแค่แตกต่าง" โอ้ ติสได้อีกว่ะพ่อคุณ... แต่ที่ได้รับรู้มามันมีไอ้ยิ่งกว่านั้น
  1. ออกจากมหา'ลัยตั้งแต่ปีแรก หันหน้าเข้าสู่ดนตรี (ยังดีว่าตัดสินใจแล้วดัง) แต่เอาเถอะ Foals ทั้งวงนี่รู้สึกจะมีเรียนจนจบ College คนเดียว
  2. โดนจับ ! ! ! คือเรื่องมันเกิดขึ้นโดย Philippakis กับสมาชิกบางส่วนของ Foals และ Kaiser Chielfs มุทะลุออกมา จะระงับเหตุการณ์ที่ผู้ติดตาม Sex Pistols (เข้าใจว่าน่าจะเป็นทีมงานแหล่ะ) ที่ดันทะลึ่งไปเหยียดสีผิว Okereke (ร้องนำ Bloc Party) สุดท้ายทะเลาะวิวาทก็โดนจับตามระเบียบ
นอกเรื่องไกลไปถึงวีรเวร วีรกรรม กลับเข้าเรื่องดีกว่า และแล้ววงก็มีอัลบัม debut ออกมาในชื่อว่า Antidotes ออกมาเมื่อ มีนาคม 2008 (ผมไม่ได้แนะนำช้าไปใช่ไหม แค่เกือบปีเอง) อัลบัมนี้ขึ้นถึง อันดับ 3 ของ UK Album Chart ได้คะแนนจากหนังสือต่างๆดังนี้
NME - 7/10
Rolling Stone - 3ดาว ครึ่ง
Allmusic - 4 ดาว
เอาแค่หลักๆก็พอละกัน แค่นี้ก็น่าจะแสดงให้เห็นได้ว่า งานชุดนี้ต้องมีดีอยู่บ้างแหล่ะ แม้จะไม่ perfect สุดๆก็ตาม (แต่ไม่เป็นไรผมไม่แคร์ nothing's perfect)

อัลบัมออกมาหลากหลายตามแต่ละภูมิภาค แบ่งหลักๆเป็น 3 ชุด UK, US, JP แต่ละชุดจะมีเพลงหลักเหมือนกัน 11 เพลงแต่แตกต่างกันไปด้วย Bonus Tracks ที่ดีที่สุดก็คงจะเป็น UK Special Edition เพราะได้ CD เพิ่มมาอีกแผ่นนึงต่างหากไปเลย ส่วน US ก็ลูกเมียน้อยเอาไปแค่ 2 เพลงพอ JP ดีกว่า US ได้มา 3 เพลง แต่... เพลงที่มีใน JP ดันไม่มีใน UK อ้าว ! ! ! ห่าจิก ทำไม JP ถึงต้องได้เพลงพิเศษแบบแปลกๆกว่าคนอื่นเขา หลายวงแล้วที่เป็นแบบนี้ ใครก็ได้ตอบที ผมไม่เข้าใจจจจจจ !

ใครที่อยากลองฟัง Foals อัลบัม Antidotes คงต้องพึ่งพาบารมีอาศัยเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศส่งมาให้กันละครับคราวนี้ เพราะจากที่ผมเดินดูตามที่ต่างๆยังไม่เห็นที่ไหนมี ถ้าจะให้ดีฝากเพื่อนที่อยู่ UK ซื้อมาให้จะดีที่สุด เพลงได้เยอะกว่า แถมมีบันทึกเสียงแสดงสดที่ Nottingham ด้วย หรือถ้าใครจะตามหาบนโลกไซเบอร์ ผมคงแนะนำได้แค่ไปหาแถวๆรัสเซียครับ มีมันเกือบทุกอย่างจริงๆ ลองไปเยี่ยมพี่กุ๊กแล้วให้แกช่วยหา iFolder กับ Foals ให้ ผมว่าแกน่าจะช่วยได้นะครับ ฮ่า ๆ ๆ

Sunday 1 February 2009

Sunday Afternoon

When I was just a little girl, I asked my mother what will I be...

กับบ่ายวันอาทิตย์ แดดร่มลมตก คงไม่มีอะไรดีกว่าไปกว่าจิบชาร้อน เค้กช็อคโกแลต พร้อมด้วยเคล้าดนตรีเบาๆ ลองคิดเมื่อคุณนั่งอยู่ในสวนหย่อมน้อยๆหน้าบ้าน ฟังเสียงนกร้อง พูดคุยกับคนในครอบครัว พร้อมด้วยดนตรีเบาๆเปิดคลอเพื่อสร้างบรรยากาศ ความสุขอยู่กับคุณแค่เอื้อม แล้วเหตุใดวันอาทิตย์คุณยังจะต้องออกไปเดินห้างพบเจอผู้คนมากหน้าให้หงุดหงิดหัวใจ อยู่กับสมาชิกในครอบครัวนี่แหล่ะครับความสุขของวันอาทิตย์

เกริ่นกันมาขนาดนี้ถึงดนตรีที่จะเปิดคลอในวันสบายๆอย่างวันอาทิตย์ หลายคนอาจคิดถึงดนตรี Jazz, Latin, Chill out, หรือ Lounge ใช่ครับผมจะมาแนะนำให้รู้จักวงที่รวมเพลงเหล่านั้นไว้ด้วยกันในวงเดียว "Pink Martini" พวกเค้าเหล่านี้คือวงที่ถูกขนานนามว่าเป็น Little Orchesta เป็น Vintage Music จากสไตล์การเล่นของพวกเขา แล้วพวกเขาคือใครละ ?

Pink Martini คือวงจากเมือง Portland ก่อตั้งวงเมื่อปี 1994 โดยนักเปียโน Thomas M. Lauderdale (ปัจจุบันรับตำแหน่ง Artistic Director) โดยตอนเริ่มวงแรกๆส่วนใหญ่แล้วจะแสดงตามงานต่างๆของสภาเมืองซะเป็นส่วนใหญ่ จนถึงวันนึงที่ได้ออกทัวร์ที่ยุโรปเป็นครั้งแรกนั่นคืองานใหญ่ของโลกงานนึง Cannes Film Festival ถูกต้องครับงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ หลังจากนั้นก็ออกแสดงตามประเทศต่างๆ ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส, เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, โมนาโก, กรีซ, โมร็อคโค, ตุรกี ฯลฯ แสดงด้วยสมาชิกของวงตัวเอง หรือบางทีอาจร่วมกับวงออเคสต้าของประเทศนั้นๆ เนื้อเพลงของ Pink Martini มีหลายภาษาไม่ว่าจะ อังกฤษ, ฝรังเศส, สแปนิช, อิตาเลียน, โปรตุกีส, เจแปนนีส, หรือแม้แต่ อราบิค

อัลบัม Debut ออกวางขายในชื่อ Sympathique เมื่อปี 1997 โดยมียอดขายทั่วโลกที่ 1.3 ล้านก็อปปี้ รวมไปถึงเพลงที่หลายคนอาจรู้จักกันดีอย่าง Que Sera Sera ก็ถูกทำใหม่มาอยู่ในอัลบัม Sympathique นี้ด้วย และยิ่งไปกว่านั้นเพลง Sympathique ยังถูกบรรจุอยู่ในอัลบัม World Lounge ของ Putumayo

หลังจากที่ห่างหายจากการออกอัลบัมไปหลายปี Pink Martini ออกอัลบัมที่สองมาอีกครั้งในเดือนตุลาคมปี 2004  กับอัลบัมที่ชื่อว่า Hang On Little Tomato

เพลงของ Pink Martini ยังไปปรากฏในหนังหลายๆเรื่อง รายการโทรทัศน์ หรืออย่างเพลง No Hay Problema ยังไปอยู่เป็น background music ในระหว่างการติดตั้ง Microsoft's Windows Server รวมไปถึงตัวบิวด์แรกของ Windows Longhorn หรือที่รู้จักกันดีภายหลังในชื่อ Windows Vista

และเมื่อปี 2007 วงก็ได้ออกอัลบัมที่สามในชื่อ Hey Eugene! งานเพลงของพวกเขาก็ยังคงเป็นไปในแบบที่คุ้นเคย ฟังสบาย ผ่อนคลายอารมณ์จากความตึงเครียดในการทำงานในแต่ละวัน ความสุขจากการฟังดนตรี ยังหาฟังได้อีกเยอะ เพียงแค่คุณเปิดใจรับมัน บางทีไม่จำเป็นที่เราจะต้องฟังภาษาฝรั่งเศส สแปนิช หรือ อิตาเลียนออก เราก็เพลิดเพลินไปกับการฟังเพลงเหล่านั้นได้ ไม่ใช่หรือ ?

Friday 30 January 2009

Britpop ?

What is Britpop ?

Britpop is subgenre of Alternative Rock that originated in UK. It emerged from the  British independent music and the band was influence by pop music of 60's and 70's. It developed as a reaction against in late 80's to early 90's to American grunge music, new British group such as Blur or Suede made positioning themselves as musical force, on uniquely British topic or concern.

Britpop คืออะไร?

Britpop คือ subgenre ของ Alternative Rock ที่กำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่มาจากกระแสเพลงอินดี้ของอังกฤษ โดยมากแล้ววงจะได้รับอิทธิพลจากเพลงในยุค 60's และ 70's ซึ่งการพัฒนาขึ้นมาของ Britpop ในช่วงปลายของยุค 80's ต่อ 90's นั้นก็เป็นการตอบโต้การเข้ามาของเพลงแนว Grunge จากสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะ Nirvana) วงใหม่ๆในเวลานั้นอย่าง Blur หรือ Suede จะทำเพลงในรูปแบบอังกฤษจ๋า ความกังวล เรื่องราวต่างๆในความเป็นอังกฤษ

แล้วก็ถึงจุดเสื่อมของความเป็น Britpop เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับความถดถอยของ britpop เริ่มเห็นอย่างเด่นชัดในช่วงกลายค่อนปลายของยุค 90's งานเพลงอิ่มตัว วงหลายๆวงหยุดตัวเองลงไป บางวงก็แยกตัวกัน Blur คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดจากการแยกออกมาของ Damon Albarn และ Graham Coxon ซึ่งหลังจากที่ Coxon แยกตัวออกไป ทำงานของตัวเอง ทาง Blur ก็ไม่มี Studio Album ออกมาอีกเลย ในขณะที่ Damon ก็สนใจกับ Side Project ของตัวเองอย่าง Gorillaz

หมดจากยุค Cool Brittania ก็เข้าสู่ยุคใหม่ เปลี่ยนมือวงชั้นนำจาก Blur, Oasis, Suede เข้าสู่ยุคของ Radiohead, The Verve หรือ Coldplay งานดนตรีที่กีตาร์เปร่งเสียงเป็นหลัก กลายเป็นความสมดุลทางดนตรี ไม่ใช่กีตาร์หล่อเหลาอีกต่อไป แต่คนจำนวนมากก็ยังระบุวงเหล่านี้เป็น Britpop ทั้งที่ความถดถอยเข้ามาแล้ว แล้วทำไมล่ะ Britpop ถึงยังอยู่ในใจของผู้คนมากมายหากไม่ใช่เสน่ห์ที่ยังคงอยู่ในตัวของมันเอง

สุดท้ายข่าวฝากสาวก Blur กำลังจะรวมตัวอีกครั้งในปี 2009 (ปีนี้) หลังจาก Coxon ตกปากรับคำเข้ามาในวงอีกครั้งเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว รอฟังกันครับหลังจาก Oasis ออกอัลบัมใหม่มาช่วงปีที่แล้ว Blur คงตามออกมาภายในปีนี้ แล้วรอดูกันว่า The Battle of Britain ในยุคเก่าจะกลับมาอีกครั้งหรือไม่

Welcome to my music

This is my first blog to talk about the music all kind of music that I know. If i don't know, I'll try to know. The genre that I'll talk in this blog would be mostly on alternative, indie, britpop and britrock. Other genres will be talked a bit through this blog. I'll try my best to keep on up to date with the band, the album, the news. Let's feel the music. 

PS. This blog will be a bilingual blog, some will be post in Thai.

สวัสดีทุกคน Blog นี้จะเป็นจุดเริ่มการพูดคุยเรื่องดนตรี ผ่านประสบการณ์ที่เคยฟังมา แนวเพลงที่รู้จัก หรือถ้าไม่รู้จักจะพยายามรู้จัก Blog นี้จะพูดถึงแนวเพลง อัลเทอร์, อินดี้, และ บริทเป็นส่วนใหญ่ อาจมีแนวเพลงอื่นปะปนบ้างตามแต่สมควร ผมจะพยายามอัพเดทข่าวของแต่ละวง ว่าออกอัลบัมใหม่อย่างไร มีความเคลื่อนไหวอย่างไร แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันถึงเรื่องดนตรีครับ